ราชวงค์โจว : ต้นแบบอารยธรรมจีน
ราชวงศ์โจว หรือ ราชวงศ์จิว
เป็นราชวงศ์ที่ 3 ในประวัติศาสตร์จีน ปกครองอารยธรรมจีนประมาณ 1123
ปีก่อนคริสต์ศักราช - 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช นับว่าเป็นราชวงศ์ที่ปกครองยาวนานที่สุด
ด้วยเวลาที่ยาวนานกว่า 867 ปี ทั้งนี้ยังเป็นราชวงศ์ที่มีเรื่องราวของการสู้รบระหว่างแว่นแคว้นต่างๆ
เพื่อชิงความเป็นใหญ่จนทำให้บ้านเมืองแตกแยก รวมทั้งยังเป็นยุคแห่งการกำเนิดของเหล่านักปรัชญาเมธีหลายท่าน
อาทิ ขงจื๊อ,
เล่าจื๊อ, ซุนวู เป็นต้น
ราชวงศ์โจวแบ่งออกเป็น 2 ยุค ได้แก่
1. ยุคราชวงศ์โจวตะวันตก
ปกครองราว 1046 – 771 ปีก่อนคริสต์ศักราช
สถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าโจวอู่หวังหรือ จีฟา ภายหลังโค้นล้มราชวงศ์ซางลงได้สำเร็จ
โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ซีอาน มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น 12 พระองค์
2. ราชวงศ์โจวตะวันออก ปกครองราว
771-256 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปกครองสืบต่อจากราชวงศ์โจวตะวันตกโดยพระเจ้าโจวผิงหวัง
ได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ลั่วหยาง ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองซีอาน ในสมัยนี้เกิดการแย่งชิงอำนาจกันของเหล่าอ๋องและการแข็งเมืองของเหล่าอ๋องทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพในการปกครองเกิดขึ้นจนนำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์
โดยในราชวงศ์โจวตะวันออกมีการแบ่งออกเป็น 2 ยุค โดยยุคแรกเรียกว่า
ยุคชุนชิว และยุคสุดท้ายเรียกว่า ยุคจ้านกว๋อ จนราชวงศ์โจวล่มสลาย
1. ยุคชุนชิว ยุคนี้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายในอาณาจักร
แว้นแคว้นต่าง ๆ เกิดความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันจนเกิดสงครามระหว่างแคว้นต่างๆ ผู้คนเดือดร้อนทุกข์ยากจนก่อเกิดนักปราชญ์นักปรัชญาขึ้นและมีโอกาส
เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นด้านปรัชญา
ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม รวมทั้งการปกครอง ผู้คนในเวลานั้นต่างก็ต้องการที่พึ่ง
ผู้ปกครองก็ต้องการแม่ทัพผู้ปราชญ์เปรื่องเรื่องยุทธวิธีการวางแผน
วางกำลังการรบที่เหนือกว่าคู่แข่ง จึงทำให้มีผู้คนมากมายรับฟังนักปราชญ์ และเกิดนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงขึ้นมากมาก
อย่างเช่น ขงจื้อ เล่าจื่อ หรือซุนวูผู้เขียนตำราพิชัยสงคราม
2. ยุคจ้านกว๋อ
เป็นยุคแห่งการทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ของแว่นแคว้นต่างๆ อันได้แก่ แคว้นฉู่ แคว้นเจ้า
แคว้นเอี้ยน แคว้นฉี แคว้นฉิน แคว้นห่าน และแคว้นวุ่ย จนในที่สุดฉินหวังเจิ้งหรือฉินสื่อหวงหรือจิ๋นซีฮ่องเต้
ฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินก็เก็บกวาดแค้วนต่างๆ ทั้ง 6 แคว้นรวบรวมเป็นหนึ่งเดียวจนเป็นปึกแผ่นและสถาปนาราชวงศ์ฉินขึ้นมาในที่สุด
แผนที่ตั้งแคว้นโจว |
ความก้าวหน้าทางวิทยาการ
- เกิดนวัตกรรมการถลุงแร่เหล็ก โดยใช้วิทยาการเตาเผา ความร้อนสูง
- เตาเผาถลุงเป็นเตาเผาแบบพ่นลม
- เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธผลิตจากเหล็ก
- ทองสัมฤทธิ์มีการใช้ในการผลิตเครื่องใช้ในราชสำนัก ชนชั้นสูง และพิธีกรรม เป็นเครื่องกำหนดสถานะผู้คน
- การเพาะปลูกได้ผลผลิตมาก จากการใช้เหล็กทำเครื่องมือ
- การค้าขายสินค้าจากเหล็กมีแพร่หลายจำนวนมาก
- เครื่องมือเครื่องใช้จากเหล็กกล้ายเป็นเครื่องมือผ่อนแรง การขยายพื้นที่การเกษตร การก่อสร้าง การขุดคู คลอง แม่น้ำ
- มีการใช้รถม้าเป็นพาหนะ ทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น
เศรษฐกิจ
ที่ดิน
- มีการทำสำมโนครัวเรือนและที่ดิน เพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษี
- สมัยตอนต้นใช้ระบบศักดินา โดยขุนนางจะได้รับที่ดิน แรงงาน สัตว์เลี้ยง และเครื่องมือ
- แรงงานสามารถชื้อ-ขายได้
- ขุนนางใช้ระบบจัดสรรที่ดินให้แก่ชาวนา ดังนี้
- ชาวนา 8 ครัวเรือน เข้าทำกินครัวเรือนละ 1 ส่วน
- ชาวนาทั้ง 8 ส่วน ต้องทำนาให้เจ้าของที่ดิน 1 ส่วน
- ในตอนปลาย ระบบจัดสรรที่ดินเสื่อมไป เปลี่ยนเป็นระบบจับจองที่ดิน โดยให้ชาวนาเสียภาษีตามจำนวนที่จับจอง (ค่านา)
- ต่อมาเมื่อรัฐขยายขึ้นที่ดินถูกจัดสรรแก่ชาวนา สามารถมีกรรมสิทธ์ซื้อ-ขายได้ ไม่มีภาระผูกพันกับขุนนาง
- ชาวนามีหน้าที่เสียภาษีค่านาให้แก่รัฐ
การเพาะปลูก
- การเกษตรมีความก้าวหน้า เพราะเครื่องมือทำจากเหล็ก เช่นคันไถ
- การเพาะปลูกขยายพื้นที่ได้มากขึ้น
- มีการขุดคลองเพื่อส่งน้ำ และการขนส่งผลผลิต
- ในตอนปลายชาวนาสามารถบุกเบิกที่ดินทำกินได้อย่างเสรี
- กลุ่มพืชที่เพราะปลูกได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ถั่วเหลือง ธัญพืช
- มีวิธีการอนุรักษ์ที่ดินโดย ใช้ปุ๋ยมนุษย์ การไถหว่าน ปลูกเรียงแถว การปลูกพืชหมุนเวียน
- มีระบบระบายน้ำที่ดี
- มีการจัดระบบชลประทานโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นผู้ดูแล
การค้าขาย
- สินค้ามีจำนวนมากขึ้นเนื่องจากวิทยาการ การถลุงแร่โลหะเหล็ก
- เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางการค้า
- การค้ามีความซับซ้อน มีการเรียกเก็บส่วยและอากร
- ตอนต้นใช้เบี้ยหอยในการแลกเปลี่ยน
- ในตอนปลายเปลี่ยนมาเป็นใช้เหรียญกษาปณ์ทองแดง (copper)
- การใช้เงินตรานับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการตลาดอย่างแท้จริง
- สินค้าที่ทำรายได้งดงามกล้ายเป็นสินค้าต้องห้าม เช่น เหล็ก เกลือ
การเมืองการปกครอง
- ผู้นำตั้งตนเป็นราชา(wang)บนทฤษฎีคติเดิมของราชวงค์ชาง
- เกิดทฤษฎีอ้างถึงเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
- ราชวงค์ชาง คือ พระเจ้าตี้ (TI)
- ราชวงค์โจว คือ พระเทพสวรรค์หรือฟ้า (Tien)
- เทพแห่งสวรรค์จะมอบอำนาจให้ผู้ใดผู้นั้นมีอำนาจในการปกครอง และสามารถเพิกถอนอำนาจได้ทุกเมื่อ
- ราชาเป็นโอรสแห่งสวรรค์
- จากความเชื่อดังกล่าวเป็นพลังหลักในการรวมบ้านเมือง
- จีนถือว่า แผ่นดินมีจักรพรรดิองค์เดียวเหมือนท้องฟ้ามีพระอาทิตย์ดวงเดียว
- จักรพรรดิทรงไว้ซึ่งอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว
- จักรพรรดิเป็นผู้เชื่อมต่อพิภพกับสวรรค์ (เป็นผู้ติดต่อสวรรค์)
- การปกครองที่ดีคือการปกครองตามประสงค์ของสวรรค์จึงต้องมีการตั้งพิธีบวงสรวง
- จักรพรรดิและผู้ปกครองต้องปกครองโดยธรรม
- พระราชกำเนิดหรือการเป็นโอรสสวรรค์ไม่สามารถคุ้มครองจักรพรรดิผู้ประพฤติผิดธรรม
- สวรรค์สามารถเพิกถอนให้ผู้อื่นหรือวงศ์อื่นได้
ระเบียบบริหารของรัฐ
- แผ่นดินโจวขยายตัวจากสังคมเกษตร จึงไม่มีระเบียบบริหารที่ดี
- การปกครองใช้อำนาจส่วนกลางและวัฒนธรรมเป็นสื่อโดยถือว่า แผ่นดินใดที่มีภาษาวัฒนธรรม พิธีกรรม แบบโจว ถือว่าเป็นโจว
- โจวใช้กุศโลบายกลืนชาติโดยใช้ภาษาและวัฒนธรรมในวการขยายอำนาจ
- การปกครองใช้ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ โดยมีการแบ่งซอยย่อยไปตามลำดับชั้น
- การปกครองถือสายสำพันธ์เครือญาติเป็นหลัก โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่มาจากเครือญาติพี่น้อง
- เมืองหลวงมีกำแพงล้อมรอบ เป็นชุมชนขนาดใหญ่
- เมืองนครรัฐน้อยใหญ่ก็มีการสร้างกำแพงและผังเมืองตามแบบของโจว
- เมืองนครรัฐเปรียบประดุจรัฐบริวาล ลดลั่นความสำคัญไปตามลำดับส่วนใหญ่เป็นเมืองป้อมปราการ
- คนที่อยู่ในนครรัฐส่วนใหญ่มักเป็นตระกูลเดียวกันหรือเชื้อชาติเดียวกัน
- นักรบเป็นชนชั้นผู้ปกครอง
- ผู้ปกครองตามระดับชั้นได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิ ยศถาบรรดาศักดิ์ และมีพิธีแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่ง
- ผู้ปกครองจะได้รับบรรณการเป็นสิ่งของ ที่ดิน และกำลังคน แรงงาน และมีกองทัพเป็นของตน โดยจัดระเบียบบริหารตามเมืองหลวง
การทหาร
- กองทัพโจว ใช้กลรถศึกหุ้มเกาะหนัก การรบบนหลังม้าและทหารราบ
- มีการเกณฑ์ชาวนาเป็นทหารราบหรือไพร่ราบ
- อาวุธหลักเป็นธนู หน้าไม้ ดาบเหล็กปลายยาว
- เริ่มมีทหารอาชีพรับจ้าง
- กำลังหลัก คือ ทหารม้าและทหารราบ
- การรบต้องฝึกตามตำราพิชัยยุทธศิลปะ (Ping-fa) ของชุนจื๊อ
การเสื่อมของระบบศักดินาสวามิภักดิ์ในยุคปลาย
- ในยุคหลังได้เกิดบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจำนวนมาก
- บรรดานักปราชญ์เห็นว่าผู้ปกครองไม่ได้ปกครองโดยชอบธรรมจึงมีแนวคิดในการปกครองแบบรวมอำนาจโดยมีผู้ปกครองที่มีคุณธรรม
- เกิดระบบราชาธิปไตย ที่รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
- มีการแต่งตั้งเสนาบดีเป็นเจ้ากระทรวง ทบวง กรม เพื่อบริหารราชสำนัก พิธีกรรม ทรัพยากรในแผ่นดิน เก็บส่วยอากร
- เสนาบดีและผู้ใกล้ชิดเป็นสุภาพชนผู้ทรงความรู้
- การปกครองนครรัฐ ผู้ปกครองจะต้องมาจากการโปรดเกล้าแต่งตั้ง
- ระดับล่างของภูมิภาคคือ ระดับเมือง ตำบล หมู่บ้าน
- การปกครองของส่วนผู้มิภาคเป็นอิสระจากส่วนกลางภายใต้การดูแลของผู้ตรวจการแผ่นดิน
- เสนาบดีและชนชั้นผู้ดีกลายมาเป็นผู้ปกครอง
- ชนชั้นนักรบลดลง เนื่องจากการรบกันเอง เพื่อแย่งชิงอำนาจ
- การเกณฑ์ชาวนามาเป็นทหาร และทหารรับจ้าง นิยมสูงขึ้น
- ทหารแบบใหม่ที่ทำความดีย่อมได้รับยศถาบรรดาศักดิ์เลื่อนชั้นมาเป็นชนชั้นสูงแทนที่นักรบกลุ่มเดิม
- บทบาทนักรบหมดลง ไม่สามารถแข่งขันกับชนชั้นปัญญาชนได้
- ทุกรัฐต่างเสาะแสวงหาคนดีมีฝีมือ มีความรู้ มากกว่านักรบ
- ความเจริญทางเศรษฐกิจทำให้มีการเปิดถือครองที่ดินโดยเสรี ชาวนาไม่ต้องพึ่งพานักรบอีก
- ช่างที่เคยผลิตผลงานเพื่อนักรบหันมาผลิตเพื่อประชาชนมากขึ้นก่อให้เกิดรายได้จนสามารถชื้อที่ดินไว้ครอบครองจำนวนมาก
- พระราชอำนาจถูกถ่ายทอดไปอยู่ในมือชนชั้นผู้ดีมีปัญญา
- นครรัฐเริ่มมีพื้นที่ปกครองกว้างขว้างจากระบบราชการที่เอื้อต่อการขยายอำนาจของนครรัฐ
- นครรัฐเข้มแข็งขึ้นท้าทายอำนาจของราชวงค์
- ปัญหาการถือครองที่ดินเริ่มก่อปัญหาต่อรายได้ของรัฐ
- ที่ดินของผู้ดีได้รับการยกเว้นภาษีค่านา
- ที่ดินชนชั้นผู้ดีเพิ่มมากขึ้นจากการซื้อขาย และมอบให้ของชาวนาเพื่อเลี่ยงภาษีจากส่วนกลาง
- ชาวนาที่ครองที่ดินต้องรับภาระหนักจากภาษีที่ดิน
- ราชวงค์ต้องเผชิญการท้าทายอำนาจจากผู้ดีที่มีที่ดิน กำลังคนมากขึ้น และการลุกฮือของชาวนาที่ยากลำเค็ญเรื่อยมา
สังคม
- เมืองหลวงมีกำแพงคันดินล้อมรอบยาวประมาณ 3 กิโลเมตร
- ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
- เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น เกิดเมืองใหม่ตามที่ราบแม่น้ำมีวัดเป็นสูนย์กลางการปกครอง มีกำแพงล้อมรอบเพื่อป้องกันพวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์
- ในเมืองประกอบด้วยที่อยู่ของชนชั้นสูงที่มีรั่วรอบขอบชิด พื้นที่อาศัยของช่าง พื้นที่การค้า แหล่งบันเทิง ร้านอาหาร โรงแรม หอนางโลม พื้นที่ทำไร่ไถนาอยู่นอกกำแพงเมือง
- ชาวไร่ชาวนาต้องถูกเรียกเกณฑ์ขึ้นป้อม ค่าย ประตูหอ
- โคตรรวงค์ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 100 แซ่ แต่ละแซ่ล้วนมีอำนาจปกครอง
- โคตรวงค์หรือแซ่มีกองทัพพร้อมออกศึกเพื่อองค์จักพรรดิ์
สังคมช่วงปลายสมัยโจว
- ชนชั้นสูงประกอบด้วยผู้นำรัฐ เหล่าขุนนางในราชสำนัก เสนาบดี
- ชนชั้นกลางได้แก่บริวาล ผู้ติดตามขุนนาง เช่น นักรบ ทนายหน้าหอ เสมียน อาลักษณ์ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้ทำงานในทำเนียบ
- ชนชั้นต่ำ ประกอบด้วย สามัญชน ชาวไร่ ชาวนา ทาส
- ปัญญาชน ทหาร นักรบ สามารถเลื่อนระดับขึ้นเป็นชนชั้นสูงได้
- พ่อค้าที่มั่งมี มีอำนาจอิทธิพลในสังคม
- ชนชั้นสูงต่างต่อสู้กันทุกรูปแบบเพื่อแข่งขันครอบครองชนชั้นล่าง
- ชาวนายอมยกที่ดินให้ผู้ปกครองเพื่อเสียค่าเช่าแทนการเสียภาษี
- ชนชั้นสูงได้รับการยกเว้นการเสียภาษี การลงโทษประจาน มีสิทธิ์ผูกขาดในการถือครองทรัพยากร
- หัวใจสำคัญของจีนอยู่ที่ชนบท
- บทบาทสำคัญในการปกครองอยู่ที่ชนชั้นสูง
ภูมิปัญญา
ปรัชญาถือกำเนิดขึ้นจาก
ปรัชญาถือกำเนิดขึ้นจาก
- ความไม่สงบสุขจากสงคราม การแบ่งฝ่าย
- พิธีกรรมเซ่นไหว้บวงสรวงไม่ได้ทำให้จีนสงบสุขอย่างแท้จริง
- ราชวงศ์ไม่สามารถล้มล้างได้ เพราะคตินิยมเทวาราชาธิปไตย
- เกิดแนวคิดของบรรดานักปราชญ์ที่เชื่อว่า “มนุษย์คือสัตว์สังคม และสัตว์การเมือง สังคมจะดีหรือเลว
- เกิดสำนักนักคิดนักปราชญ์นับร้อยแห่ง ที่สำคัญและขึ้อได้แก่ ขงจื๊อ หยิน หยาง (ลัทธินิยมธรรมชาติ) เล๋าจื๊อ (เต๋า) ม่อจื๊อ (โม่จื๊อ) เม่งจื๊อ ชุนจื๊อ เฟยจื๊อ(ฝาเจี่ย-นิตินิยม)
อักษรศาสตร์
- ในสมัยโจวตอนปลายเกิดวัฒนธรรมต้นแบบชั้นครู (ยุคคลาสสิค)
- เกิดวรรณกรรมตำราจีนคลาสสิค 3 ประเภท คือ
- ตำรา 5 เล่ม (กวีนิพนธ์, ประวัติศาสตร์, โหราศาสตร์, พิธีกรรม, ประวัติศาสตร์ยุคชุนชิว)
- ตำรา 13 เล่ม (ตำรา 5 เล่ม, ประเพณีกุงหยาง, ประเพณีกูเหลี่ยง,ประเพณีของโจว, พิธีกรรมของราชวงค์โจว, บทสนทนา, ตำราเม่งจื๊อ, ความกตัญญูกตเวทิตา, ประชุมอธิฐานศัพย์ วรรณกรรม )
- ตำรา 4 เล่ม เป็นตำราเรียนของขงจื๊อ (บทสนทนา 2 เล่ม, ตำรามหาวิทยาการ, ตำราว่าด้วยกรรมวิธี )
ศิลปกรรม
- เริ่มมีการใช้กระเบื้องมุงหลังคา
- ใช้อิฐเผ่าไฟเป็นวัสดุก่อสร้าง
- ใช้หินทำเป็นเสา ฐานเสา ทางระบายน้ำ
- สร้างบ้านโดยยกพื้นดินอัดแน่น
- เครื่องทองสัมฤทธิ์นิยมใช้ในราชสำนัก ชนชั้นสูง พิธีกรรม
- ริเริ่มทำเครื่องเขิน
- นิยมใช้ตะเกียบในการบริโภคอาหาร
- รู้จักปรุงอาหาร
กุ้ด
ตอบลบ